นวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงชีวิตในช่วง
5 ปีข้างหน้า
จากการที่ได้เข้าศึกษาและอ่านบทความที่
ไอบีเอ็มเปิดเผยรายงานประจำปี "IBM Next Five in Five" ฉบับที่สาม
ซึ่งแสดงรายการนวัตกรรมที่มีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิตคนเราในช่วง
5 ปีข้างหน้า รายการดังกล่าวอ้างอิงแนวโน้มตลาดและแนวโน้มทางสังคมที่คาดว่าจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรารวมถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ
จากห้องปฏิบัติการทั่วโลกของไอบีเอ็ม
ซึ่งจะสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมเหล่านี้ให้กลายเป็นจริง ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ซึ่งสามารถทำให้ชีวิตของเราจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีซึ่งเป็นสิ่งที่น่าศึกษาและให้ความสนใจนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้น
มีดังต่อไปนี้:
1. เทคโนโลยีโซลาร์เซลล์รุ่นใหม่จะถูกติดตั้งไว้ตามพื้นถนน
ผนังอาคาร และหน้าต่าง ท่านเคยสงสัยไหมว่าเราจะสามารถผลิตพลังงานได้มากเท่าไร
หากมีการติดตั้งเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ไว้ตามทางเดิน ถนนหนทาง รางรถไฟ กำแพง
หลังคา และหน้าต่าง ในอีก 5 ปีข้างหน้า
พลังงานแสงอาทิตย์จะเป็นพลังงานทางเลือกที่มีราคาไม่แพง
ปัจจุบันวัสดุและกระบวนการผลิตเซลล์สุริยะหรือโซลาร์เซลล์ที่ใช้ในการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้ามีราคาแพงเกินกว่าที่จะสามารถนำไปใช้งานอย่างแพร่หลาย
แต่ในอนาคต ปัญหาดังกล่าวจะไม่เป็นประเด็นสำคัญอีกต่อไป
เนื่องจากการสร้างพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์จะทำผ่านเซลล์สุริยะแบบ
“ฟิล์มบาง” (thin-film) ซึ่งเป็นชุดเซลล์สุริยะราคาประหยัดที่มีความบางกว่าเซลล์สุริยะแบบแผ่นซิลิคอนถึง
100 เท่า และมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า
เซลล์สุริยะแบบฟิล์มบางนี้ถูก “พิมพ์” และจัดเรียงไว้บนแผงรองรับที่ยืดหยุ่น
โดยนอกจากจะติดตั้งบนหลังคาได้แล้ว ยังสามารถติดตั้งไว้ที่ผนังด้านข้างของอาคาร
หน้าต่าง โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก รถยนต์
และแม้กระทั่งเสื้อผ้าได้อีกด้วย
2. แพทย์จะสามารถพยากรณ์อนาคของสุขภาพท่านได้
ภายใน 5 ปีข้างหน้า
แพทย์จะสามารถนำเสนอแผนที่พันธุกรรมที่บอกท่านได้ว่าสุขภาพของท่านมีแนวโน้มจะเผชิญกับความเสี่ยงอะไรบ้าง
พร้อมทั้งวิธีการที่แน่ชัดในการป้องกันสิ่งเหล่านั้น
โดยอ้างอิงจากดีเอ็นเอของท่านเอง ซึ่งทั้งหมดนี้อาจมีค่าใช้จ่ายไม่ถึง
7,000 บาท (200 เหรียญสหรัฐฯ)
เพราะการที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบวิธีจัดทำแผนที่จีโนมทั้งหมดของมนุษย์
เท่ากับเป็นการเผยความลับของพันธุกรรม และใช้ข้อมูลนี้ในการแนะนำการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตและการรักษา
นอกจากนั้น บริษัทยายังสามารถพัฒนายาใหม่ๆ
ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นสำหรับผู้ป่วยแต่ละคนโดยเฉพาะ
การจัดทำแผนที่พันธุกรรมจะเปลี่ยนรูปแบบการดูแลสุขภาพของคนเราในอีก 5 ปีข้างหน้าอย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลให้เราสามารถดูแลตัวเองได้ดีมากยิ่งขึ้น
3. ท่านจะสามารถพูดคุยโต้ตอบกับเว็บได้
“การเข้าชม” เว็บกำลังจะเปลี่ยนไปในช่วง
5 ปีข้างหน้า ในอนาคต
ท่านจะสามารถท่องอินเทอร์เน็ตแบบแฮนด์ฟรีโดยใช้เสียงแทนข้อความโดยไม่ต้องใช้หน้าจอหรือคีย์บอร์ด
ทั้งนี้ ในบางประเทศ เช่น อินเดีย ถ้อยคำที่พูดมีความสำคัญมากกว่าภาษาเขียนในระบบการศึกษา
การบริหารราชการ และวัฒนธรรม ด้วยเหตุนี้ “การพูดคุย”
กับเว็บกำลังพัฒนาแซงหน้าอินเทอร์เฟซอื่นๆ ทั้งหมด
และโทรศัพท์มือถือก็กำลังเข้ามาแทนที่พีซีด้วยการใช้งาน “เว็บไซต์เสียง”
(VoiceSite) ซึ่งสะดวกและเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ไม่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ต
และผู้ไม่รู้หนังสือได้ และเมื่อเว็บสามารถเข้าใช้งานได้โดยใช้เสียง ทุกๆ
คนจะสามารถใช้งานเว็บได้ง่ายขึ้น
4. ท่านจะมีผู้ช่วยช๊อปปิ้งดิจิตอลส่วนตัวของท่านเอง
ท่านเคยติดอยู่ในห้องลองเสื้อพร้อมด้วยเสื้อผ้าผิดขนาดโดยที่ไม่มีพนักงานขายอยู่แถวนั้นเลยหรือไม่?
ภายใน 5 ปีข้างหน้า
ท่านจะสามารถพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น และตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
แทนที่จะต้องรอความช่วยเหลือจากพนักงานขายในห้าง
การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ากับโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคใหม่จะทำให้การช้อปปิ้งเป็นเรื่องสนุกมากขึ้น
เพราะอีกไม่นานเราจะมีผู้ช่วยช้อปปิ้งดิจิตอล (Digital Shopping
Assistant)ในห้องลองเสื้อ ซึ่งประกอบด้วยจอแบบทัชสกรีน
และตู้บริการ (Kiosk) ที่สั่งงานด้วยเสียง
ซึ่งจะทำให้ท่านเลือกหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แบบครบชุด
เมื่อท่านเลือกสินค้าผ่านผู้ช่วยช้อปปิ้งดิจิตอล
พนักงานขายจะได้รับแจ้งและรวบรวมสินค้าเพื่อส่งให้ท่านโดยตรง นอกจากนี้
ท่านยังสามารถถ่ายภาพตัวเองในชุดต่างๆ และอีเมลหรือส่ง SMS ภาพเหล่านั้นไปให้เพื่อนๆ เพื่อพิจารณาว่าจะซื้อ..หรือไม่ซื้อ นอกจากนี้
ท่านยังจะสามารถเรียกดูความคิดเห็นและเรตติ้งที่ลูกค้าท่านอื่นได้ให้ความเห็นไว้ได้
รวมทั้งสามารถดาวน์โหลดคูปองส่วนลดสำหรับสินค้าที่ต้องการซื้อได้อีกด้วย
5. ความหลงลืมจะกลายเป็นเรื่องราวในอดีต
ท่านคงเคยมีปัญหาหรือกังวลกับความพยายามจดจำข้อมูลมากมายมหาศาลต่าง ๆ
รอบตัวหรือไม่ ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า
ปัญหาดังกล่าวอาจหมดไป เนื่องจากท่านจะจำได้ง่ายขึ้น ว่าต้องซื้ออะไร ที่ไหน
ท่านมีนัดพบปะกับใครและเมื่อใด รายละเอียดต่างๆ ในชีวิตประจำวัน จะถูกบันทึก
จัดเก็บ วิเคราะห์ และจัดเตรียมให้เมื่อถึงเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้โดยอาศัยไมโครโฟน และกล้องวิดีโอ
ซึ่งจะบันทึกบทสนทนาและกิจกรรมต่างๆเอาไว้
จากนั้นจะจัดเก็บและวิเคราะห์โดยอัตโนมัติบนคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ทำให้เราสามารถ“จดจำ” ได้ทันทีถึงการพูดคุยสนทนาทางโทรศัพท์กับบุคคลในครอบครัวหรือแม้แต่กับแพทย์ประจำตัว
นอกจากนี้ เทคโนโลยียังช่วยเตือนความจำให้ท่านเวลาแวะซื้อของใช้หรือแวะซื้อยาตามใบสั่งเมื่อเดินทางผ่าน
จากบทความที่อ่านข้างต้นเราจะเห็นความทันสมัยของนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่จะปรากฏและเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
อย่างไม่หยุดยั้งตามสภาพแวดล้อมของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย หวังว่าเพื่อน ๆ
คงได้รับความรู้จากบทความดังกล่าวไม่มากก็น้อยนะ
|
แนวโน้มของเทคโนโลยีการศึกษาของไทย
.....
การนำเทคโนโลยีการศึกษามาใช้ในประเทศไทย
จะมีทิศทางในการใช้ในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
1.6.1 มีแนวโน้มในการนำเทคโนโลยีการศึกษามาใช้ในลักษณะต่อไปนี้ มีการใช้สื่อการ สอนเป็นรายบุคคลมากขึ้น เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังใช้ระบบการศึกษาทางไกลมากขึ้นในระดับที่สูงกว่าประถมศึกษา
1.6.2การใช้สื่อการศึกษาที่ผลิตขึ้นจากท้องถิ่นอย่างเหมาะสมจะมีบทบาทสำคัญ ๆ ทั้งนี้เพราะงบประมาณที่จำกัด โดย
เฉพาะประเภทที่ยากจน
1.6.3 การจัดองค์การและการบริหารงานจะออกมาในรูปเป็นกลุ่ม เพื่อการประหยัด งบประมาณ ใช้งบประมาณให้
คุ้มค่าที่สุด และมีประสิทธิผลที่สุด
1.6.4 การวางหน้าที่ของสายงานโดยเฉพาะประเทศไทย จะมีรูปแบบที่คล้าย ๆ กัน แต่ขยาดเล็กใหญ่ตามความ
เหมาะสมของงานแต่ละแห่ง
1.6.5การวิจัยทางด้านเทคโนโลยีทางการศึกษาและการหานวัตกรรมทางการศึกาาที่สามารถนำมาใช้ได้จริง ๆ เริ่ม
มีมากขึ้น
1.6.6 แหล่งทรัพยากรการเรียน โดยเฉพาะบุคลากรในชุมชน เริ่มให้ความสนใจและให้ความร่วมมือกับฝ่ายการ
ศึกษามากขึ้น
1.6.7 ปัจจุบัน รัฐบาลไทยให้ความสำคัญต่อการศึกษา โดยเน้นการใช้สื่อการสอนและเทคโนโลยีเข้าช่วยแก้ปัญหา
ทั้งนี้ได้กำหนดให้เทคโนโลยีการศึกษาเป็นหมวดหนึ่งใน9 หมวดมาตรา ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
ฉบับปัจจุบัน (พ.ศ.2542)ซึ่งเน้นว่า
1)ส่งเสริมสนับสนุนในการผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีการศึกษาทุกรูปแบบ
2)พัฒนาบุคลากรในด้านความรู้ ทักษะ การใช้ เทคโนโลยีอย่างมีคุณภาพ และประสิทธิภาพ
3)พัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ และทักษะในการนำเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาและหาความรู้ด้วยตนได้ตลอดชีวิต
4)ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนการติดตามประเมินผล การใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาว่าคุ้มค่าและเหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ของคนไทย
1.6.1 มีแนวโน้มในการนำเทคโนโลยีการศึกษามาใช้ในลักษณะต่อไปนี้ มีการใช้สื่อการ สอนเป็นรายบุคคลมากขึ้น เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังใช้ระบบการศึกษาทางไกลมากขึ้นในระดับที่สูงกว่าประถมศึกษา
1.6.2การใช้สื่อการศึกษาที่ผลิตขึ้นจากท้องถิ่นอย่างเหมาะสมจะมีบทบาทสำคัญ ๆ ทั้งนี้เพราะงบประมาณที่จำกัด โดย
เฉพาะประเภทที่ยากจน
1.6.3 การจัดองค์การและการบริหารงานจะออกมาในรูปเป็นกลุ่ม เพื่อการประหยัด งบประมาณ ใช้งบประมาณให้
คุ้มค่าที่สุด และมีประสิทธิผลที่สุด
1.6.4 การวางหน้าที่ของสายงานโดยเฉพาะประเทศไทย จะมีรูปแบบที่คล้าย ๆ กัน แต่ขยาดเล็กใหญ่ตามความ
เหมาะสมของงานแต่ละแห่ง
1.6.5การวิจัยทางด้านเทคโนโลยีทางการศึกษาและการหานวัตกรรมทางการศึกาาที่สามารถนำมาใช้ได้จริง ๆ เริ่ม
มีมากขึ้น
1.6.6 แหล่งทรัพยากรการเรียน โดยเฉพาะบุคลากรในชุมชน เริ่มให้ความสนใจและให้ความร่วมมือกับฝ่ายการ
ศึกษามากขึ้น
1.6.7 ปัจจุบัน รัฐบาลไทยให้ความสำคัญต่อการศึกษา โดยเน้นการใช้สื่อการสอนและเทคโนโลยีเข้าช่วยแก้ปัญหา
ทั้งนี้ได้กำหนดให้เทคโนโลยีการศึกษาเป็นหมวดหนึ่งใน9 หมวดมาตรา ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
ฉบับปัจจุบัน (พ.ศ.2542)ซึ่งเน้นว่า
1)ส่งเสริมสนับสนุนในการผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีการศึกษาทุกรูปแบบ
2)พัฒนาบุคลากรในด้านความรู้ ทักษะ การใช้ เทคโนโลยีอย่างมีคุณภาพ และประสิทธิภาพ
3)พัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ และทักษะในการนำเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาและหาความรู้ด้วยตนได้ตลอดชีวิต
4)ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนการติดตามประเมินผล การใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาว่าคุ้มค่าและเหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ของคนไทย